นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 มีปัจจัยแวดล้อมทั้งในและต่างประเทศที่ต้องติดตาม โดยต่างประเทศจับจากการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เกี่ยวกับมุมมองการขึ้นดอกเบี้ย และการปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE Tapering) ซึ่งในอดีตส่งผลกดดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง
ส่วนปัจจัยในประเทศยังให้น้ำหนักกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ภายหลังประเทศไทยยังเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ดี คาดว่าการระบาดจะทำจุดสูงสุด (จุดพีค) ในช่วงปลายไตรมาส 3 ปี 2564 ดังนั้น การลงทุนจึงต้องมองข้ามช็อตไปหลังโควิด-19 คลี่คลายลงด้วยเช่นกัน
สำหรับเป้าหมายดัชนีหุ้นไทนปี 2564 ประเมินกรณีฐาน (Base Case) ที่ 1,605 จุด อย่างไรก็ดี ระหว่างทางมีโอกาสปรับขึ้นไปทดสอบ 1,694 จุด ในทางกลับกันมีโอกาสปรับลงไปทดสอบที่แนวรับบริเวณ 1,500 จุด แต่มองเป็นจุดน่ากลับเข้ามาซื้อลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคาปรับลงมาแรง เช่น กลุ่มพลังงาน แลักลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยยกตัวอย่างหุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ที่ในอดีตเคยซื้อขายบริเวณ 150 บาทต่อหุ้น ปัจจุบันปรับตัวลงมาที่บริเวณ 100 บาทต่อหุ้น เป็นต้น
ในการนี้ ภายหลังเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของปี 2564 บล.บัวหลวง ได้ประเมินภาพของตลาดหุ้นไทยในปี 2565 โดยคาดว่าคาดการณ์กำไรของหุ้นในตลาดจะปรับขึ้นสูงกว่าปี 2564 อย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) ปีหน้าจะอยู่ที่ 98.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะส่งผลให้คาดการณ์เป้าหมายดัชนีปรับขึ้นไปอยู่ที่ 1,780 จุด ส่วนหนึ่งได้ปัจจัยหนุนจากกลุ่มหุ้นพลังงาน ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักสูงในตลาดหุ้นไทย โดยคาดว่ากำไรจะเติบโตต่อเนื่อง จากคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบปี 2565 ระหว่าง 65-70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ขณะที่การลงทุน แม้ตลาดหุ้นจะปรับฐานลงจากการระบาด แต่มองไปข้างหน้า พบว่าหุ้นกลายตัวแนวโน้มกำไรปี 2565 มีทิศทางเติบโตดี และบางตัวเติบโตดีกว่าปี 2562 ซึ่งเป็นปีก่อนเกิดโควิด-19 ดังนั้น ในช่วงที่ตลาดปรับฐานจึงเป็นช่วงที่นักลงทุนสามารถเลือกซื้อ หรือเลือกช้อปหุ้นที่ราคาปรับฐานลงมาได้
โดยหุ้นเด่นแนะนำในไตรมาส 3/64 ได้แก่ กลุ่มส่งออก KCE DELTA และ HANA รวมถึงกลุ่มยานยนต์ ตามทิศทางการส่งออกที่เติบโตดี กลุ่มเดินเรือ RCL และ LEO ได้อานิสงส์จากค่าระวางเรือที่ปรับตัวขึ้น ถัดมา กลุ่มเครื่องดื่ม โดยมีจุดเด่นจากแนวโน้มกำไรปี 2565 ที่เติบโตสูง ขณะที่ราคาต่อกำไร (P/E) ยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก และราคาหุ้นยังเคลื่อนไหวอยู่ในโซนล่าง เช่น OSP และสุดท้ายกลุ่มบรรจุภัณฑ์ ทั้งผู้จัดส่งบรรจุภัณฑ์ KEX และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ SCGP
สำหรับหุ้นบูลชิพ เช่น กลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคาร คาดจะกลับมาอีกครั้งในปลายปี 2564 จากความต้องการใช้พลังงานที่ฟื้นตัวกลับมาในช่วงปลายปี และภาวะเงินเฟ้อที่จะกลับมาสูงขึ้นหลังเศรษฐกิจฟื้นตัว โดยกลุ่มพลังงาน คาดหวังการเติบโตจากภายนอก (In-organic Growth) จากการออกไปซื้อกิจการต่างประเทศ เช่น PTTGC ด้วยเม็ดเงินลงทุนที่ค่อนข้างสูง เชื่อว่าจะสร้างผลกำไรให้ระยะกลาง-ยาว โดยการลงทุนระยะสั้นแนะนำเก็งกำไรตามงบการเงิน ส่วนระยะยาวแนะนำทยอยสะสม เพราะราคาที่ปรับฐานลงมาเป็นราคาที่มีส่วนลดค่อนข้างน่าสนใจ
แหล่งข่าว ‘บัวหลวง’ คัด 4 กลุ่มหุ้นน่าซื้อลงทุนช่วงตลาดปรับฐาน, bangkokbiznews, 25 ก.ค. 2564