หลังจากที่ไทยลงนามในความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) หรือ อาร์เซ็ป เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นก้าวสำคัญของยุทธศาสตร์การค้าที่สำคัญที่จะจับจองห่วงโซ่การผลิตของโลกไว้ในกำมือ
อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ภายหลังไทยลงนามในอาร์เซ็ปแล้ว เชื่อว่า จะช่วยสนับสนุนการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต(First S-Curve และ New S-Curve) ซึ่งเป็นเป้าหมายส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) โดยประเมินว่ากลุ่มประเทศที่จะเข้ามาลงทุนคือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จะเข้ามาลงทุนในอาเซียนแน่นอนในฐานะการผลิตใน 5 อุตสาหกรรมใหม่
เมื่อเทียบความพร้อมระหว่างไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย พบว่า มาเลเซียมีความพร้อมเรื่องระบบโลจิสติกส์มากกว่าไทย เพราะมีการเชื่อมโยงท่าเรือ ขนส่งทางบก และทางอากาศ รวมทั้งต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะน้ำมันที่ราคาถูกกว่าไทย ขณะที่ไทยมีความพร้อมด้านบุคคลากร แรงงาน และโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการ ที่สำคัญเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน ดังนั้นทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ก็จะพิจารณาการลงทุนหลังจากมีอาร์เซ็ป
กลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนขอเสนอให้รัฐบาลเร่งเปิดการเจรจาข้อตกลงการค้าในกรอบอื่นด้วยเช่น หุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี), เอฟทีเอไทย-อียู และเอฟทีเอไทย-ยูเค ซึ่งอยากให้แสดงท่าทีเปิดเจราเลยแต่ถ้าหากมีประเด็นใหม่ที่ไทยไม่พร้อมสามารถต่อรองขอยืดระยะเวลาการดำเนินการไปก่อน อย่างเช่น เวียดนามที่ขอยืดเวลาไปอีก10-20 ปี ในบางประเด็นที่ไม่พร้อม
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมใหม่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ (Growth engine)ให้เศรษฐกิจไทยเติบโตและให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการค้าในภูมิภาคที่เชื่อมโยงทั้งตลาดโลจิสติกส์และแรงงานช่วยต่อยอดอุตสาหกรรมเดิมที่มีอยู่ และการเพิ่มรายได้ของประชากรได้มากขึ้น